14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
รายละเอียด
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (หรือ “SCC”) ขอเรียนว่า
บริษัท วีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (หรือ “VSCG”)
ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทางอ้อมทั้งหมด
ได้อนุมัติการดำเนินการลงทุนในโครงการ ของ
Long Son Petrochemicals Company Limited (หรือ “LSP”)
และ LSP จะจัดทำหนังสือแจ้งผู้ชนะ การประกวดราคา (Letter of Award)
ให้กับผู้รับเหมาหลักในวันที่ 14 กรกฎาคม 2560
คาดว่าจะสามารถ ลงนามในสัญญาจ้างผู้รับเหมาแบบเหมารวมเบ็ดเสร็จ (Turnkey)
ในช่วงครึ่งปี หลังของปี 2560
โดยจะใช้ เวลาก่อสร้างประมาณสี่ปีครึ่ง และ
จะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2565
มูลค่าการลงทุนรวมในโครงการของ LSP
คิดเป็นเงินประมาณ 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 188,000 ล้านบาท
โดยจะมีโครงสร้างทางการเงินประกอบด้วย
* เงินกู้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign denominated debt)
* และเงินทุนในอัตราส่วน 60:40
โดยค่าใช้จ่ายลงทุนจะทยอยจ่ายไปตลอดช่วงระยะเวลา ดำเนินโครงการ
ทั้งนี้
* SCC ถือหุ้นทางอ้อมใน LSP ร้อยละ 71
(** โดยบริษัท วีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ร้อยละ 53 และ
** บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 18)
* ในขณะที่ Vietnam Oiland Gas Group (PetroVietnam)
ถือหุ้นร้อยละ 29
LSP เป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกของประเทศเวียดนาม
มีความสามารถในการแข่งขัน ในเชิงธุรกิจเนื่องจาก
เป็นโครงการที่มีการเชื่อมโยงจากโรงงานปิโตรเคมีขั้นต้นถึงขั้นปลายครบวงจร
* มีความประหยัดจากขนาด (Economies of scale) และ
* สามารถใช้วัตถุดิบได้อย่างยืดหยุ่น
นอกจากนี้ LSP ยังมีการลงทุนใน
* ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินกิจการ
เช่น ท่าเรือน้ำลึก และสาธารณูปโภค ต่าง ๆ
ซึ่งมีมูลค่าประมาณร้อยละ 30 ของเงินลงทุนท้งหมด
จุดเด่นของโครงการนี้ คือ
* การมีโรงงานผลิตเอทิลีนขนาดกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี
ที่มีความยืดหยุ่นสูง โดยสามารถเลือกใช้ก๊าซร่วมกับแนฟทา
เป็นวัตถุดิบในสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อ
การผลิตโอเลฟินส์รวมกันได้สูงถึง 1.6 ล้านตันต่อปี
* สำหรับเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตของ LSP
ถือเป็นเทคโนโลยีชั้นนำ ระดับโลกที่ได้รับการยอมรับ
ส่วนวัตถุดิบจะประกอบด้วย
** ก๊าซอีเทนจากแหล่งภายในประเทศเวียดนาม
** ก๊าซโพรเพนและวัตถุดิบแนฟทาจากการนำเข้า
ภายใต้สัญญาซื้อขายวัตถุดิบในราคาตลาดที่แข่งขันได้
ซึ่งจะทำให้โรงงานมีความยืดหยุ่นสูง สามารถเลือกใช้ก๊าซ
เพื่อบริหารต้นทุนได้สูงสุดถึงร้อยละ 80 ของวัตถุดิบ ทั้งหมด
* นอกจากนี้การผลิตโพลิโอเลฟินส์ในขั้นปลายซึ่งประกอบด้วย
** โรงงาน High Density Polyethylene (HDPE),
** Linear Low Density Polyethylene (LLDPE) และ
** Polypropylene (PP)
จะมีกำลังการผลิตโดยรวมใกล้เคียงกับโรงงานโอเลฟินส์
SOURCE : www.set.or.th
WWW.CHEMWINFO.COM BY KHUN PHICHAI